
สรุปความรู้ประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์ หมายถึง
- การศึกษาอดีตในช่วงหนึ่งหรือสมัยหนึ่ง
- เรื่องราวเกี่ยวกับสังคมมนุษย์
- มีเหตุผลและถูกต้องตามความจริงโดยปราศจากอคติแล้ว
- ผ่านวิธีการตรวจสอบข้อเท็จจริง
เฮโรโดตัส (Herodotus ชาวกรีก : 484 – 425 ก่อน ค.ศ.)
- บิดาแห่งวิชาประวัติศาสตร์
- บัญญัติคำว่า ประวัติศาสตร์ (History) เป็นภาษากรีก : Historiai แปลว่า ไต่สวน สืบสวน
- ผู้วางรากฐานความรู้ทางประวัติศาสตร์ พัฒนาไปสู่ “วิธีการทาง ประวัติศาสตร์”
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ : บิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย
คุณสมบัติของนักประวัติศาสตร์
1. มีความเป็นกลาง (Objectiveness or Objectivity)
2. มีความคิดที่เป็นประวัติศาสตร์ (Historical thinking)
3. มีความถูกต้องแม่นยำ (Accurary)
4. มีความเป็นระเบียบในการจัดเก็บและบันทึกข้อมูล (Love of order)
5. มีลำดับการทำงานที่เป็นตรรกะ(เหตุผล) (Logic)
6. มีความซื่อสัตย์ในการแสวงหาข้อเท็จจริง (Honesty)
7. มีความระมัดระวังในการใช้หลักฐาน (Self-awareness)
8. มีจินตนาการ (Historical imagination)
การนับศักราชสากล
ศักราช
เริ่มเมื่อ
เทียบพ.ศ.
พุทธศักราช (พ.ศ.)
พระพุทธเจ้าดับขันธ์ปรินิพพาน (ไทยนับถัดไป 1ปี)
คริสต์ศักราช (ค.ศ.)
พระเยซูประสูติ (B.C. = ปีก่อนพระเยซูประสูติ)
- 543
ฮิจเราะห์ศักราช(ฮ.ศ.)
นบีมูฮัมหมัดอพยพชาวมุสลิมจากเมืองเมกกะไปเมืองเมดินะฮ์ พ.ศ.1165
- 1122
มหาศักราช (ม.ศ.)
สมัยพระเจ้ากนิษกะแห่งราชวงศ์กุษาณะของอินเดีย ใช้ในสมัยสุโขทัย
-621
จุลศักราช (จ.ศ.)
ศักราชของพม่า ใช้ในสมัยอยุธยาถึงรัชกาลที่ 5
-1181
รัตนโกสินทร์ศก(ร.ศ.)
สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ ใช้ในสมัยรัชกาลที่ 5 – 6
-2324
การนับช่วงเวลา
- ทศวรรษ = รอบ 10 ปี [ทศวรรษที่ 2010 = ค.ศ.2010-2019]
- ศตวรรษ = รอบ 100 ปี [พุทธศตวรรษที่ 26 = พ.ศ.2501-2600]
- สหัสวรรษ = รอบ 1,000 ปี [สหัสวรรษที่ 3 = พ.ศ.2001-3000]
วิธีการทางประวัติศาสตร์
วิธีการทางประวัติศาสตร์ คือ กระบวนการค้นคว้าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ เพื่อให้ได้ความจริงหรือใกล้เคียงความจริงมากที่สุด โดยอาศัยการวิเคราะห์จากหลักฐานประเภทต่างๆ
ขั้นตอนและวิธีการทางประวัติศาสตร์
1. กำหนดปัญหา
- ศึกษาอะไร ที่ไหน อย่างไร
- หัวข้อหรือประเด็นศึกษา ไม่กว้างหรือไม่แคบเกินไป
2. รวบรวมหลักฐาน
ค้นคว้าจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง ให้ครบถ้วนที่สุด
3. การตรวจสอบและประเมินคุณค่าของหลักฐาน(หรือการวิพากษ์) แบ่งได้ 2 ทาง
3.1 การตรวจสอบภายนอก (การวิพากษ์ภายนอก)
- เป็นของจริงหรือของปลอม
- เป็นหลักฐานชั้นต้นหรือชั้นรอง
3.2 การตรวจสอบภายใน (การวิพากษ์ภายใน)
- หลักฐานน่าเชื่อถือหรือไม่
- ขัดแย้งกับหลักฐานอื่นหรือไม่
4. การตีความหลักฐาน แบ่งได้ 2 ระดับ
4.1 ตีความขั้นต้น
- ตีความตามตัวอักษรหรือรูปภาพ
4.2 ตีความขั้นลึก
- จุดมุ่งหมายของผู้เขียน
การตีความต้องวางใจเป็นกลาง การตีความเรื่องหนึ่งอาจไม่ใช่ข้อยุติ หากพบหลักฐานใหม่ สามารถตีความแตกต่างไปจากเดิมได้
5. การเรียบเรียงและการนำเสนอ
- ใช้ภาษาง่ายๆในการเรียบเรียงข้อมูล
- อธิบายอย่างสมเหตุสมผล ต่อเนื่อง
- นำเสนอน่าสนใจ
- อ้างอิงหลักฐาน
หลักฐานทางประวัติศาสตร์
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ (Historical source) หมายถึง ร่องรอยจากพฤติกรรมของมนุษย์ในอดีตจากการกระทำ การพูด การเขียน การสร้างสรรค์ การอยู่อาศัย ความคิด โลกทัศน์ ความรู้สึก ประเพณี รวมทั้งสิ่งต่างๆ ตามธรรมชาติที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสังคมมนุษย์
การแบ่งประเภทของหลักฐานทางประวัติศาสตร์
1. หลักฐานแบ่งตามลักษณะการบันทึก
1.1 หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร
- จารึก ตำนาน พงศาวดาร จดหมายเหตุ เอกสารราชการ ชีวประวัติ จดหมายส่วนตัว หนังสือพิมพ์ นิตยสาร วารสาร กฎหมาย และวรรณกรรม
1.2 หลักฐานที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
- หลักฐานทางโบราณคดี เช่น โบราณวัตถุ โบราณสถาน เงินตรา เครื่องปั้นดินเผา โครงกระดูก ฯลฯ
2. หลักฐานแบ่งตามแหล่งข้อมูลหรือความสำคัญ
2.1 หลักฐานชั้นต้น (ปฐมภูมิ)
- ผู้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์โดยตรงได้บันทึก สร้าง หรือจัดทำขึ้น -เช่น บันทึกส่วนตัว กฎหมาย หนังสือพิมพ์ จดหมายโต้ตอบ รวมทั้งโบราณสถาน โบราณวัตถุ
2.2 หลักฐานชั้นรอง (ทุติยภูมิ)
- จัดทำขึ้นหลังจากเหตุการณ์นั้นๆ ผ่านพ้นไปแล้ว
- ส่วนใหญ่ปรากฏในรูปของงานเขียนทางประวัติศาสตร์ที่ศึกษาข้อมูลจากหลักฐานชั้นต้นและเพิ่มเติมด้วยความคิดเห็นของผู้เขียน เช่น วิทยานิพนธ์ หนังสือเรียน ต่าง ๆ